วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

(เคล็ดลับ) เทคนิคการอ่านหนังสือให้เข้าใจ

(เคล็ดลับ)เทคนิคการอ่านหนังสือให้เข้าใจ
อ่านแล้วเข้าใจ เข้าใจแล้วจด จดแล้วจำ จำแล้วทำให้ได้

นี่เป็นปรัชญาที่ใช้กันมานาน บางคนก็อาจจะรู้อยู่แล้ว ในการที่เราจะจำเนื้อหาของเรื่องที่เรียนไปได้แม่น มันต้องเกิดจากความเข้าใจในเนื้อหานั้นก่อน ไม่ใช่สักแต่ว่าจำ จำอย่างเดียว จำแบบไม่เข้าใจอะไรเลย การจำแบบนี้เป็นการจดจำระยะสั้น และไม่สามารถนำไปใช้ในการทำข้อสอบแบบวิเคราะห์ได้ เพราะในขั้นตอนการจำ ไม่มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เป็นไป เลยทำให้ไม่รู้หลักเหตุและผล ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น หากข้อสอบออกมาไม่ตรงกับที่จำไป ก็จบเห่น่ะสิ

การเขียนหรือการจดโน้ต

เป็นวิธีที่จะทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อนเขียนเราต้องเข้าใจอยู่แล้วว่าจะเขียนอะไรลงไป อย่าลอกตามหนังสือไปทั้งดุ้น และอย่าจดแบบให้มันเสร็จ ๆ ไป หรือจดแบบให้มีตามเพื่อน (เป็นกระแสนิยม) เพราะมันจะไม่ได้ผลอะไรเลย ควรจะสรุปประมวลออกมาเป็นเนื้อความ ตามที่เราเข้าใจ ซึ่งต้องเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย อาจตรวจสอบโดยการผลัดกันตอบคำถามกับเพื่อน หรือถามครูอาจารย์ ดังนั้นอย่าขี้เกียจเขียนเลย เขียนเอง อ่านเอง ผลที่ได้ก็อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้นแหละ


คราวนี้ก็มาถึงการท่องจำ

ส่วนใหญ่เมื่อเรารู้เรื่อง เราก็จะจำบางส่วนของเนื้อหาได้แล้ว นอกจากบางวิชา เช่น ชีวะฯ สังคม ที่เป็นวิชาท่องจำซะส่วนใหญ่ อาจต้องมีการมาท่องจำเพิ่มเติม การอ่านออกเสียงดัง ๆ ก็ช่วยให้จำดีขึ้น แต่ไม่ควรจะรบกวนผู้อื่น (มิฉะนั้นอาจจะได้รับสิ่งไม่พึงปรารถนา) การจำศัพท์ภาษาอังกฤษ อาจใช้วิธีเขียนใส่กระดาษแล้วแปะตามข้างฝาที่เรามองเห็นหรือผ่านตาเป็นประจำ เช่น ฝาข้างที่นอน ประตูห้องสุขา (ที่บ้านของตัวเองนะ) ตามที่ที่เราต้องเห็นทุกวัน อ้อ... ประตูของตู้เย็นก็ดีนะ เพราะเปิดออกจะบ่อย ก็หันมาเหลียวแลศัพท์ที่ตัวเองแปะไว้บ้าง เห็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เข้าสมอง

เวลาที่ดีสำหรับการอ่าน

เคยมีคนบอกว่าเวลาที่ดีที่สุด คือ ตอนเช้า เพราะร่างกายและสมองของเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีการจัดระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้พร้อมกับการใส่ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไป อันนี้เป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่ตื่นเช้าไม่ไหว เวลาดึก ๆ ที่เงียบ ๆ ก็ได้ เพราะความเงียบทำให้สมองเราสามารถคิดสิ่งต่างๆ ได้ดี แต่อาจจะไม่เท่าตอนเช้า เพราะสมองเราต้องเหนื่อยจากการเรียนมาแล้วทั้งวัน บางคนยังมีการเรียนพิเศษตอนเย็นอีก การอ่านหนังสือตอนกลางคืน ควรจะอ่านเท่าที่ร่างกายรับได้ พอเริ่มง่วงสัก 5 ทุ่มก็ควรเข้านอน แล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 3 ตี 4 ตี 5 แนะนำให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่ต้องตื่นไปสักครึ่งชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้มีเวลาเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก่อนสักพัก ถึงค่อยลุกไปล้างหน้าล้างตา มานั่งอ่าน ขอย้ำว่าควรทำให้ตัวเองตื่นเต็มที่ก่อนจะอ่าน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวก็หลับคาหนังสืออีกจนได้

เวลาที่ไม่เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือเรียนเลย

คือ ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จอิ่ม ๆ เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า... พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน หรือเปล่า เพราะช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่คนเรามีความง่วงนอน อ่านไปก็หลับ ยิ่งหนังสือเรียนด้วย และไม่ควรนอนอ่านหนังสือ โดยเฉพาะบนเตียง ขอบอกว่าหลับแน่ ๆ ไม่ใช่อ่านนิยายนี่ มันจะน่าติดตาม จนอยากอ่านให้จบ



“การอ่านหนังสือ ควรจะอ่านในสถานที่ที่สงบเงียบ และสมองของเราต้องพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด”

ที่มา: วิชาการดอตคอม

เคล็ดลับสมองดี

เคล็ดลับสมองดี

อัจฉริยะกับ 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์
ชื่อของ "หนูดี" วนิษา เรซ ครูอนุบาลสาวสวยลูกครึ่งไทย-อเมริกันวัย 30 ปี หลายคนอาจจะพอคุ้นๆหูและหน้าตาเธอขึ้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะหลังจากออกรายการจับเข่าคุยกับสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวสุดฮอต ยิ่งส่งผลให้เธอดังเป็นพลุแตกกับความสวยรวยความเก่ง มากไปด้วยความสามารถของเธอ


"คุณหนูดี-วนิษา เรซ" ดีกรีผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของโรงเรียนและสถาบันอัจฉริยะสร้างได้ อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่ทำอาชีพเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ ซึ่งไปถามใครที่ไหนเชื่อเถอะว่าน้อยคนนักที่จะรู้จักอาชีพนี้ เพราะเมื่อเอ่ยถึงการฝึกความอัจฉริยะหรือการพัฒนาสมองเรามักจะนึกถึงเด็กเล็กๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับการพัฒนาและฝึกฝนมากกว่าผู้ใหญ่ แท้ที่จริงแล้วผู้ใหญ่ทุกคนก็สามารถสร้างความเป็นอัจฉริยะได้ อย่างที่คุณหนูดีกล่าวว่า "สมองของเรามีเซลล์สมองเท่ากับไอน์สไตน์ " เพียงแค่ดูแลสมองให้มีสุขภาพดี ด้วยเทคนิคที่ควรเอ็กเซอร์ไซส์ให้สมองไบรท์ดังต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อย ๆสมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออกแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดีคนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมันซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวมน้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดีตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย


อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนตามเทคนิคง่ายๆทั้ง 9 ข้อนี้อาจจะไม่ทำให้เกิดอัจฉริยะข้ามคืนได้เพราะต้องอาศัยระยะเวลาในการเรียนรู้ แต่สิ่งที่ได้ในเบื้องต้นคือการมีสุขภาพดีทั้งกายและใจแบบชนิดที่เรียกว่า "สวยทั้งภายในและภายนอก" อย่างแน่นอน้

ที่มาโดย รัชนก อมรรักษากุล

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการเลือกซื้อตู้เย็น

เคล็ดลับการเลือกซื้อตู้เย็น

ตู้เย็นสำหรับใช้ในบ้าน


เมื่อเวลาที่เราทำงานหนักจนเหงื่อออกหรือเมื่อถูกสาดน้ำ หากได้นั่งพักสักครู่จะรู้สึกเย็นขึ้น ทั้งนี้เพราะน้ำที่ระเหย
จากเสื้อจะพาความร้อนส่วนหนึ่งออกจากร่างกายไปด้วย หลักการพาความร้อน เช่นนี้ เรานำมาใช้เป็นหลักการทำความเย็น
ของเครื่องทำความเย็นทั้งหลายรวมทั้งตู้เย็นด้วย

ตู้เย็นสำหรับใช้ในบ้านตามมาตรฐาน
ตู้เย็นมีส่วนประกอบที่สำคัญ 4 ส่วนคือ อีแวพอเรเตอร์ (evaporator) เครื่องควบแน่น (condenser) ตัวลด
ความดัน (pressure reducer) และเครื่องอัดสารทำความเย็น (compressor) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็น
ส่วนที่ช่วยชี้ว่าตู้เย็นเครื่องใดมีคุณภาพดีกว่ากัน
ตู้เย็นตามมาตรฐานขณะที่ตู้เย็นทำงาน ต้องไม่เกิดเสียงหรือสั่นสะเทือนมากเกินไป มีความปลอดภัยทางไฟฟ้า มี
ความสามารถทำน้ำแข็งตามเกณฑ์กำหนด เป็นต้น



ข้อแนะนำในการเลือกซื้อ
การเลือกซื้อตู้เย็น ควรสังเกตว่าต้องมีตัวเลขอักษรหรือเครื่องหมายระบุรายละเอียด ที่มองเห็นได้ง่าย ชัดเจนและไม่ลบเลือนหรือหลุดได้ง่าย เช่น
1. ชื่อผู้ผลิต หรือเครื่องหมายการค้า
2. ประเภทของตู้เย็น
3. ปริมาตรภายในที่กำหนด
4. รหัสรุ่น
5. วงจรไฟฟ้า
นอกจากนี้ ตู้เย็นทุกตู้ต้องมีคู่มือแนะนำวิธีใช้และการบำรุงรักษา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อแนะนำ เกี่ยวกับวิธีติดตั้ง วิธีใช้
วิธีใช้อุปกรณ์ควบคุมต่างๆ และการบำรุงรักษา รวมทั้งการทำความสะอาดตู้เย็น

การเลือกซื้อตู้เย็นนอกจากจะดูรายละเอียดต่างๆ ข้างต้นแล้วควรสังเกตเพิ่มเติมในเรื่องของฉลากประหยัดไฟฟ้าด้วย เพราะปัจจุบันนี้ได้มีการติด
ฉลากที่ตู้เย็น เพื่อแสดงว่าตู้เย็นใช้พลังงานไฟฟ้าเท่าใด ค่าไฟฟ้าต่อปีเท่าใด และประสิทธิภาพอยู่ในระดับใด ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้
กับผู้บริโภคพิจารณาเลือกซื้อตู้เย็นที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น สำหรับระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของตู้เย็น จะแบ่งเป็นตัวเลข 5 ระดับ คือ


ระดับที่ 1 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ต่ำ
ระดับที่ 2 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ พอใช้
ระดับที่ 3 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ปานกลาง
ระดับที่ 4 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ดี
ระดับที่ 5 เป็นระดับที่มีประสิทธิภาพ ดีมาก

ซึ่งบนฉลากจะแสดงระดับประสิทธิภาพเป็นตัวเลขและบอกความหมาย โดยมีตัวเลขแสดงการใช้พลังงานไฟฟ้า
เป็นหน่วยต่อปี และค่าไฟฟ้าเป็นบาทต่อปีพร้อมระบุยี่ห้อ และรุ่นของตู้เย็นประกอบด้วยอย่างชัดเจน ดังนั้น เมื่อ
เลือกซื้อตู้เย็นควรดูฉลากแสดงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วย ยิ่งตัวเลขสูงแสดงว่ายิ่งประหยัดไฟ

ข้อแนะนำการใช้และการบำรุงรักษาที่สำคัญ



เลือกซื้อตู้เย็นที่มีขนาดความจุเหมาะสมกับความจำเป็นในการใช้งาน และควรตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมกับชนิดและจำนวนของอาหาร เพื่อประหยัด
ค่าไฟฟ้า
ควรตั้งตู้เย็นให้มีอากาศถ่ายเทได้ดีพอสมควร โดยอยู่ห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร และห่างจากเพดานอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
ไม่ควรเปิดปิดประตูบ่อยๆ เพราะความร้อนและความชื้นจากอากาศภายนอก จะทำให้ตู้เย็นทำงานมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เปลืองไฟ
ไม่ควรนำอาหารเข้าเก็บขณะที่ยังร้อนหรืออุ่นอยู่ ควรจะรอให้ความร้อนในอาหารลดลงจนเท่ากับระดับอุณหภูมิภายในห้องก่อนจึงนำเข้าเก็บได้
ไม่ควรตั้งภาชนะที่เก็บอาหารไว้ชิดกัน หรือติดกับผนังตู้เพราะอากาศจะไม่สามารถผ่านรอบๆ ภาชนะได้
หากเป็นตู้เย็นที่ไม่มีกลไกขจัดน้ำแข็งอัตโนมัติ ควรขจัดน้ำแข็งที่เกาะภายในตู้เย็นบ่อยๆ ถ้าเป็นฤดูร้อน ประมาณ 2 ครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์
ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ประกอบภายในตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ ก่อนทำความสะอาดตู้เย็นให้ถอดปลั๊กออกก่อนทุกครั้ง ห้ามใช้เบนซิน ทินเนอร์
หรือแอลกอฮอล์ ทำความสะอาดตู้เย็น
ภายนอก ภายในตู้เย็น ควรใช้ผ้านุ่มชุบน้ำสบู่เช็ดและเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำที่สะอาดแล้วตามด้วยผ้าแห้ง ควรทำความสะอาดตู้เย็นอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ยางขอบประตู ซึ่งมีความชื้น และฝุ่นละอองจับเกาะ ทำให้เกิดจุดด่างดำ ควรทำความสะอาดบ่อยๆ โดยใช้แปรงอ่อนๆ จุ่มน้ำสบู่ถูเบาๆ ล้างด้วยน้ำ
สะอาดและเช็ดให้แห้ง

ที่มา :
http://www.bloggang.com
http://guru.google.co.th/

เคล็ดลับการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ต่างๆ

วันนี้ขอเอาใจแม่บ้านหน่อยนะครับ สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ต่างๆ พอดีได้อ่านเจอบทเรียนสมัยมัธยม
forwardmail และเว็บไซต์ทั่วไป ก็เลยนำมารวบรวมให้ทุกๆท่านที่บังเอิญผ่านมาบล๊อกนี้ได้อ่านกันครับ


เนื้อหมู
สีชมพูปนแดงเรื่อๆ เนื้ออ่อนนุ่ม ไม่แข็งหรือนิ่มเละ ไม่มีเมือกลื่นๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นคาว

เนื้อวัว
สีแดงคล้ำเล็กน้อย เนื้ออ่อนนุ่ม ไม่แข็งหรือนิ่มเละ ไม่มีเมือกลื่นๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นคาว

ไก่
สีขาวอมชมพู ไม่ซีดมาก เนื้อไม่ยุ่ย ไม่มีกลิ่น

ปลา
ผิวเป็นมัน มีเมือกใสบางหุ้มตัว เกล็ดแนบหนัง ไส้ไม่ทะลัก ตาสดใส เหงือกแดง เนื้อแน่น ไม่มีกลิ่นเหม็นคาว

ปู
สีเขียวเข้ม น้ำหนักมาก ตาใส ก้ามใหญ่ไม่แดงจัด เปลือกบาง กลางหน้าอกแข็งกดไม่ลง ปูตัวผู้ จะมีฝาปิดหน้าอกเรียวเล็ก ส่วนปูไข่ หากดีดบนกระดอง จะมีเสียงแน่นทึบ

กุ้งสด
หัวติดแน่น ตาใส มีสีตามธรรมชาติ เปลือกสด เนื้อแข็ง มันกุ้งสีแดง

ปลาหมึก
หัวติดลำตัว เนื้อแข็ง ไม่เละ หนังไม่ลอกหลุดจากลำตัว ไส้ไม่ทะลัก

เมื่ออ่านแล้ว อย่ารอช้า ควรบอกเพื่อนๆต่อนะครับ อย่าเก็บไว้คนเดียวไม่ดี


ที่มา : forwardmail, หนังสือสมัยเรียนมัธยมวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ และเว็บไซต์ทั่วไป

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีเสียบปลั๊ก Notebook ที่ถูกต้อง

เคยสงสัยกันบ้างมั๊ย ว่าการเสียบปลั๊ก Notebook แบบไหน ถึงจะปลอดภัยกับ Notebook สุดหวงของคุณ



เรื่องนี้เป็นทิปสั้นๆ แต่..ทิปสั้นๆ นี้ ผมเชื่อว่ามีใครหลายยคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ประมาณว่า จริงเหรอ? ใช่เหรอ?

ในช่วงแรกๆ ที่ผมใช้โน้ตบุ๊กก็อาการเดียวกับหลายๆ ท่าน เวลาจะเสียบปลั๊กก็เสียบตัวอะแดปเตอร์เข้ากับตัวเครื่องก่อน (จริงๆ มันน่าจะถูกนะ) แล้วก็เอาปลั๊กอีกด้านไปเสียบกับเต้ารับของที่บ้าน หรือที่ทำงาน โดยหลักความเป็นจริงแล้ว มันจะควรจะทำแบบนี้ใช่มั้ย?

คิดว่าหลายคนคิดเหมือนผม ปัญหาที่ผมเจอเมื่อทำแบบนี้กับโน้ตบุ๊กแทบทุกรุ่นที่ ผ่านมา ก็คือมันมีไฟแลปออกมาจากตัวปลั๊ก เหมือนเกิดการสปาร์คขึ้น เสียบกี่ครั้งก็เกิดอาการแบบนี้ จนพาลคิดไปว่าพวกอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊กมันไม่ค่อยดีมั้ง ผมก็หาวิธีแก้ไขบ้าง

เพื่อนหลายคนใช้วิธีเด็ดกว่านี้ครับ คือซื้อปลั๊กที่มีสวิทซ์เปิดปิดมาเลย วิธีการที่เขาทำก็คือ เสียบปลั๊กทุกๆ อย่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเปิดสวิทซ์ที่ปลั๊ก เอ้ออ.. ไอเดียดีเนาะว่ามั้ย แต่จนแล้วจนรอด ผมเอ๊ะใจขึ้นมา เลยเปิดคู่มือโน้ตบุ๊กที่ผมเพิ่งได้มาใหม่ดู นั่งอ่านสักพัก ก็ถึง บ้างอ้อ จนได้ว่า สิ่งที่เราทำมานั้น ไม่ถูกต้องเลยครับ

มิน่า เสียบยี่ห้อไหน ก็ไฟแลบตะแลบแป๊บหมด.. พาลเอาใจหายว่าไฟจะช็อตได้

ต่อไปนี้ตั้งใจอ่านให้ดีดีนะครับ

ในคู่มือเขาบอกไว้ชัดเจนเลยครับว่า วิธีการเสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ของโน้ตบุ๊ก ที่ถูกต้องก็คือ ให้เราเสียบปลั๊กเข้ากับเต้ารับที่บ้านหรือที่ทำงานก ่อนครับ จากนั้นค่อยเอาปลายอีกด้านที่เหลือมาเสียบเข้ากับโน้ ตบุ๊ก อันนี้คือวิธีที่ถูกต้อง

ผมเลยลองดูซะเลยครับ ปรากฏว่าอาการไฟแลบหรืออาการสปาร์คนั้นไม่มีเกิดขึ้น เลย โอ้! นี่แหละหนาาา..นิสัยไม่ชอบอ่านคู่มือ หลังจากนั้นมาผมก็พยายามแนะนำเพื่อนๆ ทุกคนที่เกิดอาการนี้ทั้งหมด ทุกรายแฮปปี้ดีแทคมากๆ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบครับ ใครที่ทราบแล้วก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆ ด้วยนะครับ จะได้เสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ได้ถูกต้องเสียที ใครใช้โน้ตบุ๊กอยู่ตอนนี้จะลองทำดูก็ได้นะครับ

ขอเพิ่มเติมด้วยว่า ใช้วิธีเดียวกันนี้กับ ทั้งมือถือ และ PDA ด้วย

Credit : www.bcoms.net

ข้าวโพดต้มสุก กับ มะเร็ง


จากการที่ได้อ่าน email ที่เพื่อนๆ ส่งต่อซึ่งไม่ทราบที่มา เห็นประโยชน์เห็นคุณค่า ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ๆตัวและเราเองก็คิดไม่ถึง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะ เพราะมะเร็งมีสาเหตุที่ไม่แน่ชัด และวิธีการรักษาก็มีมากมายหลายตำรามาก ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง และวิธีการนี้ก็เป็นอีกวีธีการหนึ่งที่ควรลองดู ผมคิดว่าน่าจะเป็นวิธีป้องกันมากกว่า ซึ่งก็น่าจะพอเป็นเคล็ดลับ ผมเลยเอาลงบล็อกเพื่อให้ทุกๆท่านได้อ่านกัน เนื้อหาก็ตามด้านล่างเลย
...
อ่านแล้ว ก็กินข้าวโพดต้มสุกให้เยอะๆๆๆเลย

ตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน

ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็ง มีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้


นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ ในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด

เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป
สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถ
เก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที
พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสาร อันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรค
อันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย


คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวาน ที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกาย
ยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก
แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มัน ปล่อยกรด
เฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

หากท่านอ่านแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์ กรุณาบอกต่อให้กับ คนที่ท่านรักต่อไป..


ที่มา : forward mail